หมายเหตุ: Raspberry Pi Camera Module 3 มีให้เลือกใช้งานทั้งหมด 4 รุ่น โดยมีลักษณะดังภาพด้านล่าง
Raspberry Pi Camera Module 3
Raspberry Pi Camera Module V3 เป็นโมดูลกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง Raspberry Pi โดยได้รับการปรับปรุงมาจากเวอร์ชันก่อนหน้า (Raspberry Pi Camera V2) โดยมีรายละเอียดการปรับปรุง ดังนี้:
- ความละเอียดภาพ 12MP (ล้านพิกเซล) จากเซนเซอร์รุ่นใหม่จากทาง SONY รหัส IMX708
- เทคโนโลยี Phase Detect Autofocus Lens (PDAF)
- ปรับปรุงการใช้งานในสภาพแสงน้อย
- ชิพประมวลผล Video High Dynamic Range (HDR) ในตัวโมดูล
- มีให้เลือกใช้งานทั้งเวอร์ชันปกติ (Visible Light) และเวอร์ชันไม่มีฟิลเตอร์อินฟราเรดสำหรับการใช้งานตอนกลางคืน (NoIR)
- องศารับภาพ 2 รูปแบบบ ได้แก่ 75º และ 120º (มุมกว้าง)
Raspberry Pi Camera Module V3 มาพร้อมกับความสามารถในการถ่ายภาพที่ความละเอียด 12MP(ล้านพิกเซล) ด้วยความสามารถจากเซนเซอร์ SONY IMX708 พร้อมทั้งเทคโนโลยี HDR และระบบออโต้โฟกัสแบบ phase detection autofocus และมาพร้อมกับ 2 รุ่น องศารับภาพให้เลือกใช้งาน ได้แก่ องศารับภาพแบบปกติ ที่ 75º และ องศารับภาพแบบมุมกว้าง ที่120º โดยมีให้เลือกใช้งานทั้งแบบกล้องปกติและแบบไม่มีฟิลเตอร์อินฟราเรด (NoIR) ซึ่งความละเอียดภาพที่ได้จากกล้องจะอยู่ที่ 4608 x 2592 พิกเซลสำหรับภาพนิ่ง และสำหรับวิดีโอ จะสามารถถ่ายทำได้ที่ความละเอียด 1080p @50fps, 720p@100fps และ 480p @120fps
ลองดูคลิปวิดีโอจากทางทีมงาน Cytron Technologies ในช่วง "Hot from Oven" พูดถึง Raspberry Pi Camera V3 :
โมดูลกล้องรุ่นนี้เชื่อมต่อกับ Raspberry Pi ผ่าน 15-pin Ribbon Cable (FFC-Flexible Flat Cable) เข้ากับพอร์ต15-pin MIPI Camera Serial Interface (CSI) ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานร่วมกับโมดูลกล้องโดยเฉพาะ โดย CSI bus รองรับการส่งผ่านข้มูลด้วยความเร็วสูง ซึ่งเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการส่งผ่านข้อมูลแต่ละพิกเซลของภาพเข้าสู่หน่วยประมวลผลของ Raspberry Pi โดยสาย CSI ที่แถมไปกับ Raspberry Pi Camera V3 ทุกตัว จะมีความยาว 200 มม.
ลองดูวิดีโอจาก Jeff Geerling พูดถึง Raspberry Pi Camera Module 3 โดยในคลิปนี้ Jeff ได้ลองเปรียบเทียบภาพที่ได้จาก Raspberry Pi Camera Module 3 และภาพที่ได้จากกล้องของ iPhone 13:
IMX708 เซนเซอร์ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
นี่ถือเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่สำหรับโมดูลกล้องรุ่นก่อนหน้าที่ประสบความสำเร็จได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งมีความละเอียดสูงสุดเพียง 8 ล้านพิกเซล ซึ่งถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพถึง 50% หากเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ลองดูภาพเปรียบเทียบระหว่าง Raspberry Pi Camera Module 3 (รุ่นล่าสุด) (ภาพด้านซ้าย) และภาพจาก Raspberry Pi Camera Module 2 (V2.1) (ภาพด้านขวา).
Raspberry Pi Camera Module รุ่นแรกที่มี Autofocus
The Camera Module V3 มาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่คล้ายๆ Raspberry Pi Camera module V1/V2 ทั้งรูปทรง ,ขนาด PCB และช่องสกรู ทำให้คุณสามารถใช้อุปกรณ์ยึด ติดตั้งกล้องที่มีอยู่แล้วในการใช้งานกับกล้องรุ่นนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถในการ autofocus ทำให้ตัวเลนส์นั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น และสูงขึ้น ทำให้อาจใช้งานไม่ได้กับขายึดติดตั้งกล้องบางรุ่น โดยตัวเลนส์มาพร้อมกับ Phase Detection Autofocus (PDAF) ขนาดเล็ก โดยระบบ autofocus ถูกควบคุมโดยตัวบอร์ด Raspberry Pi ผ่านสาย standard 15-pin FFC ง่ายต่อการใช้งาน ไม่ต้องต่อสายอะไรเพิ่มให้วุ่นวาย
แสงปกติ หรือ NoIR
เช่นเดียวกับ Raspberry Pi Camera V1 และ V2 Raspberry Pi Camera V3 มาพร้อมกับ 2 รูปแบบให้เลือกใช้งาน ได้แก่ รูปแบบปกติ (มาพร้อมกับ IR filter) และแบบไม่มีฟิลเตอร์อินฟราเรด (NoIR) โดยหากเป็นรูปแบบปกติ ตัวเลนส์จะมาพร้อมกับฟิลเตอร์อินฟราเรด ซึ่งจะช่วยกรองแสงอินฟราเรดออก ทำให้ภาพที่ได้มีสีที่ตรงกับความเป็นจริง เหมือนกับที่ตาของมนุษย์มองเห็น
แต่หากเป็นรุ่น NoIR ตัวเลนส์จะไม่มีฟิลเตอร์อินฟราเรด ทำให้แสงอินฟราเรดสามารถผ่านเข้าไปยังเซนเซอร์รับภาพได้ ทำให้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพที่ต้องการให้ติดแสงอินฟราเรดด้วย อย่างเช่นการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย นอกจากนี้ในกล่องยังมีแผ่นฟิล์มสีน้ำเงินที่คุณสามารถใช้ในการตรวจสอบสุขภาพของต้นพืชได้ด้วย โดยกล้องประเภท NoIR ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพสัตว์ตอนกลางคืน เนื่องจากไม่มีแสงไปรบกวนสัตว์ที่ถูกถ่ายภาพ หรือกล้องวงจรปิดที่มีหลอดอินฟราเรด ทำให้มองเห็นภาพในตอนกลางคืนได้ โดยไม่ทำให้บริเวณที่ติดตั้งกล้องสว่างจากแสงทั่วๆไป
มุมภาพที่หลากหลาย 75º หรือ 120º
กล้องทั้ง 2 รูปแบบทั้ง รูปแบบปกติ และ NoIR มาพร้อมกับเลนส์ที่มีองศารับภาพที่แตกต่างกันให้เลือกใช้งาน ได้แก่ 75º หรือ 120º ทำให้สามารถนำ Raspberry Pi Camera V3 ไปใช้งานกับโปรเจ็กต์ได้อย่างหลากหลายรูปแบบมากขึ้น.
สรุปสเปคโมดูลกล้องแต่ละรุ่นได้ ดังนี้:
ตัวโมดูลกล้องมีขนาดเล็ก โดยมีขนาดเพียง 25 มม. x 24 มม. x 11.5 มม. (สูง 12.4 มม. สำหรับเลนส์มุมกว้าง) และมีน้ำหนักโดยประมาณเพียง ~15 กรัมเท่านั้น ทำให้ไม่มีปัญหาในการนำไปใช้งานกับโปรเจ็กต์นอกสถานที่ ที่ขนาดและน้ำหนักของตัวโมดูลเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้งาน
ขนาดและตำแหน่งของรูสกรูต่างๆของ Raspberry Pi Camera V3 (ในหน่วยมิลลิเมตร):
หมายเหตุ: เนื่องจากความแตกต่างของขนาดและความสูงของเลนส์และ ทำให้แขนยึดจับและเคสสำหรับโมดูล Raspberry Pi Camera ข้างต้นไม่สามารถใช้งานได้กับ Raspberry Pi Camera Module 3 ได้:
Raspberry Pi Camera Module 3 รองรับการใช้งานร่วมกับ:
หรือหากคุณต้องการสาย FFV เคเบิลที่มีความยาวมากขึ้น สำหรับการใช้งานร่วมกับ Raspberry Pi Camera 3 เราได้ลองกับสายเคเบิลยาวสูงสุดถึง 2 เมตร ซึ่งสามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา โดยสามารถสั่งซื้อได้ตามลิงก์ด้านล่าง:
หมายเหตุ: Raspberry Pi Camera Module 3 จะสามารถใช้งานร่วมกับไลบรารี่ Picamera2 ของภาษา Python โดยคุณจำเป็นที่จะต้องทำการอัพเดต Raspberry Pi OS บน microSD card ของคุณให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด หรือหากเป็น OS ตัวอื่นก็ให้ทำการอัพเดต OS นั้นๆให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เพื่อให้รองรับการใช้งานร่วมกับ Raspberry Pi Camera Module 3 ลองอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก Raspberry Pi ได้จากที่นี่
ตัวอย่างการใช้งาน:
เราได้ลองทดสอบ Camera Module 3 (ที่เวอร์ชันที่มี) ร่วมกับ Raspberry Pi 4 Model B ใน Maker Box (Red color box), 1-meter 15-pin FFC for Raspberry Pi Camera และขายึดกล้องที่พิมพ์ขึ้นมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งผลที่ได้คือสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น เพียงแค่อย่าลืมอัพเดต Raspberry Pi OS ของคุณให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเท่านั้นเอง เพื่อให้บนตัว Raspberry Pi OS มีไดร์เวอร์ libcamera สำหรับการใช้งานร่วมกับ Raspberry Pi Camera 3
คุณสามารถพิมพ์ขายึดกล้องโดยใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติได้ด้วยตนเอง โดยสามารถดาว์นโหลดได้จากลิงก์ด้านล่าง:
International
Singapore
Malaysia
Thailand
Vietnam
